|
ตกขาว ( Leukorrhea ) |
หมายถึง ความผิดปกติของช่องคลอดที่มีของเหลวออกมา โดยอาจมีอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น คัน อักเสบระคายเคือง มีกลิ่นเหม็น ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้แล้วแต่ต้นเหตุที่ทำให้เกิดตกขาวขึ้นคือ |
1.ตกขาวปกติตามธรรมชาติ ( Physiological Leukorrhea) อาการ : มีของเหลวข้นใสหรือขาวขุ่นไหลออกมาจากช่องคลอด ไม่คัน ไม่อักเสบ ไม่มีกลิ่น สาเหตุ : เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับของ Hormone Estrogen ในร่างกาย
การรักษา : ไม่ต้องรักษา |
2.ตกขาวจากการติดเชื้อโรค 2.1 ตกขาวจากการติดเชื้อ Bacteria ( Bacteria Vaginosis )
|
ไมเกรน : เป็นอาการปวดศีรษะชนิดหนึ่งที่เกิดจาก เส้นเลือดในสมองขยายตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ แล้วไปมีผลกระทบกับเส้นประสาทบริเวณนั้นทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ที่แบ่งได้เป็น 4 ระยะคือ |
1. ระยะ Prodrome พบได้ 60% ของผู้ป่วยเกิดก่อนอาหาร ปวดศีรษะเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน โดยอาการอาจแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ 1.1 Psychological prodrome ได้แก่ ความรู้สึกหดหู่ euphoria หงุดหงิดง่าย กระสับกระส่ายอ่อนล้า ง่วงนอน 1.2 Neurological prodrome ได้แก่ photophobia, phonophobia, hypersomnia 1.3 Constitutional prodrome ได้แก่ คนคอแข็ง รู้สึกหนาว ๆ กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย เบื่ออาหาร ท้องเสีย บวมน้ำ อยากอาหาร อาการเหล่านี้จะต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่จะมีลักษณะเฉพาะในบุคคลนั้น 2. ระยะ Aura พบได้ 20% ของผู้ป่วย โดยจะเกิดขึ้น 5-20 นาทีก่อนอาการปวดศีรษะ และกินเวลาไม่เกิน 60 นาที มักเป็นความผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็น ลักษณะสายตามีความผิดปกติเป็นแบบ hemianopic distribution นอกจากนี้อาจจะมีอาการชาหน้า และแขนขาข้างเดียวกัน 3. ระยะปวดศีรษะ มีอาการปวดข้างเดียวแบบตุ้บ ๆ มีอาการมากขึ้นเมื่อมีกิจกรรม เป็นอยู่นาน 4-72 ชั่วโมง ในระยะแรกอาจปวดทั้งสองข้าง ( พบประมาณ 40 % ) หรือเริ่มจากข้างเดียวก่อนแล้วต่อมาเป็นลามทั้งศีรษะ อาการปวดจะเกิดได้ทุกช่วงของวันแต่มักเป็นช่วงเช้า อาการจะค่อย ๆ เป็น อาการที่พบร่วมกัน ได้แก่ คลื่นไส้ พบ 90 % อาเจียนพบ 33% ไวต่อแสงเสียง และกลิ่น อาจมีอาการเห็นภาพไม่ชัด คัดจมูก เบื่อหรืออยากอาหาร ปวดท้อง ท้องเสีย หนังศีรษะและใบหน้าบวม ส่วนอาการเจ็บหนังศีรษะ เส้นเลือดบริเวณขมับโปน หรือคอแข็งนั้นพบได้บ้าง 4. ระยะสิ้นสุดและตามหลังอาการปวดศีรษะ ส่วนมากจะมีอาการตรงข้ามกับระยะ prodrome เช่น ถ้าระยะ prodrome มีอาการกระหายน้ำ ระยะนี้จะมีอาการปัสสาวะบ่อย ถ้าระยะ prodrome มีอาการอยากอาหาร ระยะนี้จะมีอาการเบื่ออาหารเป็นต้น |
การวินิจฉัยไมเกรน โดยอาศัย IHS Classification 1988 แบ่งไมเกรนออกเป็น 1. ไมเกรนที่ไม่มีระยะ aura อาศัยหลักดังนี้ 1.1 เกิดอาการแบบเดียวกันนี้หลายครั้ง (อย่างน้อย 5 ครั้ง) 1.2 อาการปวดกินเวลานาน 4-72 ชั่วโมง 1.3 ลักษณะอาการปวด 4 อย่าง คือ เป็นข้างเดียว เป็นจังหวะ ปวดปานกลางถึงรุนแรง เป็นรุนแรงขึ้นเมื่อทำกิจกรรม 1.4 อาการร่วมได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน กลัวเสียง กลัวแสง 1.5 ไม่มีสาเหตุอย่างอื่นที่ทำให้ปวดศีรษะ 2. ไมเกรนที่มีระยะ aura อาศัยหลักดังนี้ 2.1 เกิดขึ้นบ่อยครั้ง น้อยกว่าของไมเกรนที่ไม่มีระยะ aura (เพียง 2 ครั้ง) 2.2 เน้นลักษณะของ aura คือ เป็นนานกว่า 4 นาที แต่ไม่นานกว่า 60 นาที และจะมีอาการปวดศีรษะตามมาภายใน 60 นาที 2.3 ไม่มีสาเหตุอย่างอื่นที่ทำให้ปวดศีรษะ 3. ไมเกรนที่มีลักษณะพิเศษอื่น ๆ เช่น 3.1 เกี่ยวกับระยะ aura เช่น มีลักษณะของ aura จำเพาะได้แก่มี homonymous visual disturbance, อ่อนแรง หรือชาข้างเดียว, aphasia ใน migraine with typical aura หรือมีระยะ aura นานกว่า 60 นาที แต่น้อยกว่า 7 วัน ใน migraine with prolonged aura หรือมีระยะ aura เกิดสั้นภายใน 4 นาที ใน migraine with acute onset aura 3.2 มีประวัติครอบครัวใน familial hemiplegic migraine 3.3 basilar migraine มีลักษณะของ aura เป็นอาการที่เกิดที่ basilar artery 3.4 ไม่มีอาการปวดศีรษะตามมาใน migraine without headache 3.5 เกี่ยวกับอาการทางตา เช่น มีอาการอัมพาตของเส้นประสาทสมองที่ 3,4 และ 6 ใน ophthalmoplegic migraine หรือมี scotoma ใน retinal migraine 3.6 เกิดในเด็กได้แก่ benign paroxysmal vertigo of childhood และ alternating gemiplegia of childhood 3.7 มีลักษณะเข้าได้มากกว่า 1 รูปแบบของไมเกรน และยังพบว่าผู้ป่วยไมเกรนที่มีระยะ aura มักจะมีช่วงที่เป็นไมเกรนที่ไม่มีระยะ aura ด้วย และจากสถิติของคลินิกปวดศีรษะของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ยังพบผู้ป่วยไมเกรนมีอาการปวดศีรษะแบบ tension-type ได้ 23 ราย ต่อผู้ป่วยทั้งหมด 120 ราย จากบทความของ นพ. บัลลังก์ เอกบัณฑิต และ นพ. กัมมันต์ พันธุมจินดา |
ข้อแนะนำสำหรับการจัดการกับไมเกรน 1. กินยารักษาอาการให้เร็วที่สุดเมื่อรู้สึกได้ถึงอาการ 2. นอนพักให้ห้องที่มืด-ปิดตา ผ่อนคลายร่างกาย หายใจลึก ๆ 3. ประคบเย็นบริเวณ หัว และคอ 4. เมื่ออาการดีขึ้นก็ให้อาบน้ำอุ่นเพื่อการผ่อนคลาย รวมถึงการเดินผ่อนคลายด้วย 5. นวดด้านหลังคอ และไหล่ 6. ใช้หัวแม่มือกดด้วยน้ำหนักที่เหมาะสม บริเวณที่มีอาการปวด ประมาณ 10 วินาที แล้วคลาย |
|
คำศัพท์
|
ท้องผูก ( Constipation ) |
เป็นอาการผิดปกติที่ไม่ใช่โรค และจะถือว่า ท้องผูกก็ต่อเมื่อมีอาการอย่างน้อย 2 อาการ จากอาการทั้งหมด ภายในช่วงทุก 12 สัปดาห์ ของรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาคือ 1. ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้ง/สัปดาห์ 2. ถ่ายอุจจาระแห้ง-แข็ง มากกว่า 25% ของจำนวนครั้งที่ถ่าย 3. รู้สึกว่าถ่ายไม่สุดมากกว่า 25% ของจำนวนครั้งที่ถ่าย 4. ต้องใช้แรงแบ่งอย่างมาก มากกว่า 25% ของจำนวนครั้งที่ถ่าย 5. ต้องใช้นิ้วมือช่วยในการถ่ายอุจจาระ |
สาเหตุของท้องผูก แบ่งเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ 1. เกิดจากความผิดปกติในการบีบตัวของลำไส้ 2. เกิดจากความผิดปกติของโครางสร้างและการทำงานของร่างกาย |
ความผิดปกติในการบีบตัวของลำไส้ จะมีความเชื่อมโยงกับ 1. ได้รับสารอาหารจำเป็นไม่เพียงพอ
2. การบีบตัวของลำไส้ผิดปกติ
3. ภาวะผิดปกติทางจิต
| ||||||||||
ความผิดปกติจากโครงสร้างและการทำงานของร่างกาย 1. กระดูกเชิงกรานผิดปกติ 2. กล้ามเนื้อหูรูดผิดปกติ 3. ไส้เลื่อน 4. ลำไส้ยื่นย้อยเข้าไปในอวัยวะใกล้เคียงหรือยื่นออกมานอกทวารหนัก | ||||||||||
กลุ่มยาที่ทำให้ท้องผูก 1. ยาแก้แพ้ (Antihistamine) 2. ยาแก้ปวดต้านอักเสบ (NSAIDs) 3. ยาลดกรด (Antacid) 4. ยารักษาโรคลมชัก (Anticonvulsant) 5. ยารักษาโรคจิตซึมเศร้า (Antidepressant) 6. ยาลดความดันโลหิตสูง 7. ยาขับปัสสาวะ 8. ธาตุเหล็ก 9. กลุ่มยาที่เข้าฝิ่น 10. ยาคลายการบีบตัวของกล้ามเนื้อเรียบ 11. ยารักษาโรคประสาท
| ||||||||||
Graded treatment of constipation: ขั้นตอนการรักษาอาการท้องผูก
| ||||||||||
ยาระบาย หรือยาถ่ายที่ใช้รักษาอาการท้องผูก (Laxative Purgative) | ||||||||||
1.การอุ้มน้ำ เพิ่มมวลอุจจาระ (Bulk forming laxatives) เป็นสารพวกใยอาหารที่จะอุ้มน้ำ เพิ่มมวลให้อุจจาระและทำให้อุจจาระนิ่ม มีระยะเวลาเริ่มออกฤทธิ์ 24-72 ชั่วโมง ทำให้ถ่ายคล้ายธรรมชาติ ปลอดภัย แต่อาจทำให้เกิด 1. ท้องอืดเนื่องจากมี Gas มาก 2. อุดตันลำไส้เพราะดื่มกับน้ำปริมาณน้อยเกิดไป เช่น
| ||||||||||
2. สารหล่อลื่น (Lubricant laxatives) เป็นสารหล่อลื่นที่ไม่ดูดซึม ช่วยหล่อลื่นอุจจาระทำให้ถ่ายได้ง่าย ระยะเวลาเริ่มออกฤทธิ์ 8 ชั่วโมง ปลอดภัย ใช้กับคนท้องได้ เช่น
| ||||||||||
3. ยากระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ (Stimulant laxatives) จะออกฤทธิ์กระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว ระยะเวลาเริ่มออกฤทธิ์ 8-12 ชั่วโมง มักจะมีอาการปวดท้องร่วมด้วย และเกิดการถ่ายมากกว่า 1 ครั้ง เช่น
| ||||||||||
4. สารที่ดูดน้ำเข้าหาตัว (Osmotic laxatives) ออกฤทธิ์ดึงน้ำไว้ในลำไส้ ทำให้ลำไส้บีบตัว เช่น
| ||||||||||
5. ยาที่ทำให้อุจจาระนิ่ม (Stool softener) Action : ออกฤทธิ์ช่วยลดแรงตึงของผิวอุจจาระ ทำให้น้ำและไขมันไม่ซึมเข้าได้ง่าย อุจจาระนิ่มลง Note : ข้อบ่งชี้ในการใช้ยา Stool softener 1. ใช้เป็นยาระบาย บรรเทาอาการท้องผูก เช่น
| ||||||||||
คำแนะนำ 1. ต้องรู้สภาวะปกติของร่างกาย ไม่ใช้ยาระบายโดยไม่จำเป็น 2. ทานอาหารที่มีเส้นใยในปริมาณที่มากพอ 3. ดื่มน้ำให้มากพอ 4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ 5. จัดเวลาการเข้าส้วมให้เหมาะสมไม่มีสิ่งรบกวน 6. ห้ามกลั้นเมื่อปวดถ่าย |
ความดันโลหิตสูง (Hypertension) |
ระบบการไหลเวียนของเลือดในร่างกายเป็นระบบวงจรปิด (Closed system) ที่มีหัวใจ (Heart) เปิดศูนย์กลางทำหน้าที่สูบฉีดเลือด (Blood) ผ่านหลอดเลือด (Blood vessel) เพื่อลำเลียง Oxygen สารอาหาร (Nutrients) Hormones และสารอื่น ๆ ไปยัง Cells ต่าง ๆ ทั่วร่างกาย แล้วรับเอา Carbondioxide และของเสียอื่น ๆ กลับจาก Cells |
การบีบตัวของหัวใจเพื่อดันให้เลือดไหลผ่านเส้นเลือด จะเกิดมีแรงต้านของหลอดเลือดต่อการไหลของเลือด เรียกว่าความดันโลหิต (Blood pressure) ซึ่งมี 2 ค่าดังนี้ 1. ค่าความดันโลหิตตัวบน (Systolic blood pressure) มีค่าสูงเป็นค่าที่เกิดขึ้นขณะที่หัวใจห้องล่างบีบตัว 2. ค่าความดันโลหิตตัวล่าง (Diastolic blood pressure) มีค่าต่ำกว่า เพราะเป็นค่าที่เกิดขึ้นในขณะที่หัวใจห้องล่างคลายตัว |
| ||||||||||||||||||
|
ความดันโลหิตสูง (High blood pressure หรือ Hypertension) คือภาวะที่หลอดเลือดมีแรงต้านต่อการไหลของเลือดมากกว่าปกติ ซึ่งโดยส่วนใหญ่(มากกว่า 90 %) แล้วจะไม่ทราบสาเหตุว่าเกิดจากอะไร (Essential or Primary Hypertension) |
อาการ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ไม่ทราบสาเหตุที่มีความรุนแรงน้อยหรือปานกลางมักจะไม่มีอาการแสดงใด ๆ แต่ในบางรายอาจมีการแสดง อาการที่พบได้บ่อย คือ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ เหนื่อยง่าย และหากผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูงมานานโดยไม่ได้รับการรักษาก็อาจจะมีอาการแสดงที่เกิดขึ้นเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูงที่เกิดขึ้นกับระบบต่าง ๆ ของร่างกายได้ เช่น อาการภาวะหัวใจวาย เจ็บหน้าอก ภาวะไตวาย ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่ทราบสาเหตุแน่ชัดมักจะมีอาการแสดง ซึ่งแตกต่างกันตามสาเหตุที่ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง |
การรักษา การรักษาความดันโลหิตสูง มีแนวทางของการรักษาจำแนกตามชนิดของความดันโลหิตสูง คือ 1. ความดันเลือดสูงที่ทราบสาเหตุ ความดันโลหิตสูงชนิดนี้ให้การรักษาโดยการแก้ไขที่สาเหตุ เช่น การทำการผ่าตัด หรือการ หยุดใช้ยาที่เป็นสาเหตุทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น เมื่อกำจัดต้นเหตุได้แล้วความดันเลือดก็จะกลับสู่ระดับปกติ ยกเว้นในบางกรณี 2. ความดันโลหิตสูงที่ไม่ทราบสาเหตุ ความดันโลหิตสูงชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุนี้พบได้ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูงเป็นส่วนใหญ่เป้าหมาย ของการรักษาคือ เพื่อลดอัตราการเจ็บป่วยและการตาย (morbidity และ mortality) ที่จะเกิดขึ้นจากภาวะ ความดันโลหิตสูง เช่น stroke, coronary heart disease, congestive heart failure, renal dysfunction เป็นต้น การรักษาความดันโลหิตสูงแบ่งได้เป็น 2 หลักใหญ่ ๆ คือ 1. การรักษาโดยไม่ใช้ยา - การควบคุมน้ำหนัก การจำกัดอาหารและการออกกำลังกาย - การจำกัดปริมาณเกลือ ให้น้อยกว่า 2 gm/ วัน - การเสริมด้วยแร่ธาตุ เช่น Calcium, Magnesium และ Fish oil 2. การรักษาโดยการใช้ยา ยาหลักที่เป็นยาลดความดันโลหิตสูง คือยาในกลุ่ม A B C D - A คือ ACEI,ARB - B คือ Beta-blockers - C คือ Calcium Channel Blocker - D คือ Diuretic ยาในกลุ่มรอง หมายถึงนำมาใช้ลดความดันโลหิตสูงในบางกรณี ได้แก่ - Alpha-blocker - Central acting - Direct vasodilator |
สิว : สาเหตุและการป้องกัน 1. สิวเป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยที่สุด และมักเป็นในช่วงเข้าสู่วัยรุ่นช่วงอายุ 12-18ปี บางคนโชคดีเป็นไม่มาก แต่หลายคนเป็นมากจนมีสิวเต็มใบหน้า ทั้งเม็ดเล็กเม็ดใหญ่แถมรอยแผลเป็นและจุดด่างดำ บางคนอาจเป็นสิวที่หน้าอกและหลังด้วย สิวถึงแม้เป็นเรื่องธรรมชาติโดยเฉพาะช่วงเข้าสู่วัยรุ่น ไม่ใช่ปัญหาสุขภาพที่ก่อผลร้ายแรงถึงชีวิต แต่ก็นับว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพจิต และบุคลิกภาพของผู้ที่เป็นสิว ทำให้หลายคนเกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง อับอาย และอาจถึงเกิดภาวะซึมเศร้าได้ มีงานวิจัยพบว่า ผู้มีสิวที่ใบหน้าที่ยิ่งเป็นมากและเป็นนาน จะมีความผิดปกติทางจิตใจและสังคมมากตามไปด้วย สิวเกิดจากการที่ฮอร์โมน Androgenซึ่งพบได้ทั้งหญิงและชาย กระตุ้นให้ต่อมไขมันโตขึ้นและผลิตไขมันมากขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันของต่อมไขมัน ไขมันที่อุดตันนี้เรียกว่า คอมมิโดน (comedone) ต่อมไขมันที่มีไขมันคั่งค้างเมื่อมีขนาดใหญ่มากจะดันผิวหนังด้านบนให้มองเห็นเป็นเม็ดเล็กๆเรียกสิวหัวขาว หากมีรูเปิดสู่ผิวหนังจะเรียกสิวหัวดำ และหากมีติดเชื้อแบคทีเรีย P.acnes ซึ่งตัวเชื้อจะสลายไขมันไตรกลีเซอไรด์เป็นกรดไขมันอิสระ ซึ่งเป็นตัวการให้เกิดสิวอักเสบซึ่งมีอาการอักเสบ เป็นตุ่มนูนแดง หรือเป็นหนอง |
ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว 1. เกิดจากกรรมพันธุ์ 2. เกิดจากการแพ้อาหาร เช่น บางคนทานช็อกโกแลต แล้วสิวขึ้นทันที ทานเมื่อไรก็ขึ้นทุกที 3. เกิดจากสภาพอากาศ เช่น บางคนโดนแดดมาก ๆ สิวก็ขึ้นได้คะ 4. เกิดจากสภาวะเครียด เนื่องจากเมื่อเราเครียดการไหลเวียนของเลือดจะเริ่มผิดปกติ ต่อมไขมัน ผลิตไขมันมากจนเกิดสิว นอกจากนี้ความเครียดยังทำให้ความต้านมานโรคของร่างกายต่ำลง ทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ง่ายขึ้น 5. เกิดจากระดับฮอร์โมน เช่นในช่วงก่อนมีประจำเดือน หรือวัยรุ่น โดยกรดไขมันที่เกิดจากากรย่อยไขมันโดยเชื้อโรคจะถูกขับออกมาตามรูขุมขนพร้อมๆกับเชื้อโรคตลอดเวลา แต่ระดับฮอโมนเพศในช่วงดังกล่าวจะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตไขมันมากขึ้น ดังนั้นไขมันจึงระบายออกมาไม่ทัน เชื้อโรคจึงมีโอกาสแบ่งตัวมากขึ้น 6. เกิดจากการทาครีม หรือแป้ง ทำให้มีการอุดตันรูระบายไขมัน สารเคมีในสบู่บางชนิดอาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้ ครีมบำรุงผิว น้ำมันและโลชั่นบางชนิดอาจเป็นสาเหตุก่อให้เกิดสิว |
วิธีการป้องกันการเกิดสิวและเคล็ดลับการรักษาสิวที่ถูกวิธี 1. ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Olive Oil, Lanolin, Sodium Laury Sulphate หรือการไปรบกวนบริเวณผิวบ่อย ๆ เช่น การขัดหน้าด้วยสครับ หรือการนวดหน้าด้วยครีมที่ส่วนผสมของน้ำมัน 2. การรับประทานช็อกโกแลตหรืออาหารที่มีความมันไม่ได้ทำให้เกิดสิว 3. การล้างหน้าบ่อย ๆ ทำให้เกิดสิวมากขึ้นเพราะการล้างหน้าบ่อย ๆ จะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่ายจึงทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้นควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้งก็เพียงพอแล้ว และควรหลีกเลี่ยงการใช้โฟมล้างหน้า ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวและไม่มีสารก่อให้เกิดคอมมิโดน (Non-comedongenic) 4. ไม่ควรบีบสิวเองเพราะจะทำให้เกิดรอยดำและรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ได้ถ้าเป็นมาก ๆ ควรได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 5. การทาครีมละลายหัวสิวก่อนล้างหน้าจะช่วยให้สิวหลุดออกได้ง่ายจึงทำให้ไม่เป็นสิวอักเสบตามมาภายหลัง 6. การรับประทานยา Isotretinoin ในการรักษาสิวถ้าจะตั้งครรภ์ควรหยุดยาอย่างน้อย 3 เดือน 7. การรับประทานแร่ธาตุสังกะสีจะช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวและแร่ธาตุยังช่วยให้วิตามินเอในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น แต่ถ้าเป็นสิวมาก ๆ แร่ธาตุเหล่านี้ก็ไม่สามารถช่วยลดการอักเสบของสิวได้ 8. ภาวะเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ระบบขับถ่ายไม่ดี และประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้ 9. การรับประทานยาคุมกำเนิดไม่ได้ช่วยในการรักษาสิวโดยตรง ยาคุมกำเนิดเหมาะสำหรับคนที่มีภาวะฮอร์โมนเพศชายในร่างกายสูงกว่าปกติ เช่นเป็นสิวง่าย หน้ามัน ขนดก 10. การฉีดยารักษาสิวอักเสบเม็ดใหญ่ ๆ ให้ยุบเร็วขึ้นเป็นการรักษาที่ปลายเหตุควรรักษาที่ต้นเหตุของสิวคือรักษาสิวเม็ดเล็ก ๆ โดยการทายาแล้วกดออกก่อนที่สิวเม็ดเล็ก ๆ จะบวมเป็นเม็ดใหญ่เพราะถ้าบวมอักเสบเป็นเม็ดใหญ่แล้วก็จะทำให้เกิดรอยดำและรอยแผลเป็นหลุมได้ |
|
แสงแดดกับผิวหนัง |
แสงจากดวงอาทิตย์ ประกอบด้วยรังสีต่างๆ มากมาย เท่าที่มนุษย์ตรวจพบ แบ่งประเภทออกมาได้ เป็นรังสีคอสมิก แกมม่า เอ็กซ์ อัลตราไวโอเลต อินฟาเรด รังสีที่มองเห็นได้และคลื่นวิทยุโทรทัศน์ รังสีเหล่านี้เราแบ่งประเภทได้โดยใช้ ขนาดคลื่นของมันเป็นตัวกำหนด ซึ่งจะวัดได้โดยใช้เครื่องวัดขนาดคลื่น ประมาณ 1 ใน 3 ของแสงแดดจะถูกดูดซับโดย น้ำ อากาศ โอโซน และบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก คลื่นรังสีที่มีความสำคัญเกี่ยวพันกับผิวหนังของเรา คือ รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) รังสีที่มองเห็นได้ (Visible light) และรังสีอินฟาเรด (Infrared) |
รังสีอัลตราไวโอเลต แบ่งตามช่วงคลื่น เป็น ยูวีเอ (UV-A) เป็นรังสีคลื่นยาว 320-400 nm ทะลุผ่านกระจกได้ จะผ่านผิวหนังชั้นบนเข้าในผิวหนังชั้นลึกลงไปได้ ทำให้ผิวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลได้อย่างรวดเร็ว(Immediate tanning) ถ้ามากอาจกระตุ้นให้ผิวสร้าง Melanin ขึ้นใหม่ได้ แม้UV-Aจะไม่ใช่ตัวการหลักที่ทำให้ผิวแก่เหี่ยวย่น และเป็นมะเร็ง แต่การโดนซ้ำๆบ่อยๆ ก็ทำให้มีโอกาสเป็นได้เช่นกัน ยูวีบี (UV-B) เป็นรังสีคลื่นสั้น ขนาด 290-320 nm ไม่ทะลุผ่านกระจก จะถูกดูดซับบนผิวชั้นบน ทำให้ผิวสีน้ำตาลช้าๆ(Delay tanning)แต่จะทำให้ผิวอักเสบ แดง ระคายเคือง UV-Aเป็นตัวการหลักทำให้เกิดมะเร็ง และผิวหนังแก่เหี่ยวย่น ถ้าโดนบ่อย ยูวีซี (UV-C) จัดเป็นรังสีคลื่นสั้นเช่นกัน ขนาด 200-290 nm ปกติไม่พบในโลก เนื่องจากถูกโอโซนในบรรยากาศดูดซับไว้หมด ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดในช่วงเวลา 9.00 - 15.00 น. เพราะมีรังสีอัลตร้าไวโอเลตสูงมากกว่า ช่วงเวลาอื่นๆ *(nm = nanometer) |
การป้องกันแดด 1. การป้องกันตามธรรมชาติ ผิวจะมีการป้องกันตามธรรมขาติอยู่แล้ว แต่ขึ้นอยู่กับลักษณะผิวของแต่ ละคนแต่ละพันธุกรรมและแต่ละเผ่าพันธ์เชื้อชาติ 2. การป้องกัน โดยการใช้สารกันแดด มี 2 ชนิด คือ 2.1 Chemical or absortion sunscreen คือการป้องกันโดยใช้สารกันแดดซึ่งอาจอยู่ในรูปของ ครีม โลชั่น สเปรย์ แล้วทาบนผิวหนัง สารกันแดดเหล่านี้เป็นสารเคมีถูกดูดซับไปในผิวหนังชั้นบน แล้วทำหน้าที่ดูดซับ รังสีไม่ให้ผ่านลงไปในผิวหนังชั้นใน สารเหล่านี้มี ข้อดี คือ ราคาถูก และ เมื่ออยู่ในรูปครีม โลชั่น รูปแบบของผลิตภัณฑ์ดูเนื้อดี เมื่อทาก็จะดูดซึมเข้าในผิว ไม่เห็นร่องรอย ข้อเสีย ของสารเหล่านี้ คือ อาจทำให้แพ้ได้ง่าย 2.2 Reflecting Sunblock or Physical Sunblock คือการป้องกันแดด โดยใช้สารทึบแสงจากธรรมชาติ ในรูป ครีม หรือ โลชั่น ไม่ดูดซึมเข้าผิว ป้องกันรังสีโดยการสะท้อนรังสีออกไป สารเหล่านี้ได้แก่ Titanium dioxide และ Zinc Oxide ข้อดี ของสารเหล่านี้ คือ ไม่ดูดซึมเข้าในผิว จึงไม่เกิดอาการแพ้ ใช้ได้แม้บริเวณผิวอ่อนหรือผิวเด็กเล็ก เป็นสารจากธรรมชาติและยังป้องกันแดดในช่วงคลื่นต่างๆ ได้กว้างกว่าแบบเคมี ข้อเสีย คือ ราคาแพงกว่า, เมื่อทาบนผิว อาจขาวหรือดูเงา ๆ เนื้อครีมอาจเหนอะหนะกว่า |
การหาค่าประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์กันแดด เพื่อเป็นการเปรียบเทียบค่าของการกันแดดของผลิตภัณฑ์กันแดด แต่ละตำรับ นักวิทยาศาสตร์จึงได้หาวิธีคำนวณค่าประสิทธิภาพขอผลิตภัณฑ์กันแดด ซึ่งเรียกว่า ค่า SPF = Sun Protecting Factor SPF หมายถึง อัตราส่วน ของ MED ของผิวหนังที่ทาผลิตภัณฑ์กันแดดและ MED ของผิวหนังที่ไม่ได้ทา ค่า MED (Minimal Erythrema Dose) คือ ขนาด(เวลา) ที่ทำให้เกิดผิวแดงอักเสบ หรือความปกติที่ผิวหนัง ดังนั้น ค่า SPF คือ อัตราส่วนของ เวลาที่ทำให้เกิดผิวแดงเมื่อทาผลิตภัณฑ์กันแดดนั้น กับ เวลา ที่ทำ ให้ผิวหนังที่ไม่ได้ทา (ผิวตามธรรมชาติ) เกิดผิวแดง ณ การปล่อยให้ผิวตากแดด ณ ที่เดียวกัน สรุป ให้ง่าย ค่า SPF คือ จำนวนเท่าของเวลาในการป้องกันแดด เมื่อทาผลิตภัณฑ์กันแดดนั้นๆว่าเป็น กี่เท่าของเวลาการป้องกันแดดโดยธรรมชาติของผิว |
ผลิตภัณฑ์กันแดด ประกอบด้วยอะไร |
ก. สารกันแดด
คือ สารเคมีที่ใช้ป้องกันแดดโดยการดูดซับรังสี UV-A สารเคมีแต่ละตัวจะให้ผลในการดูดซับรังสีได้ ในช่วงคลื่น แตกต่างกัน ในผลิตภัณฑ์กันแดด แต่ละชนิดจึงต้องมีสารกันแดดหลายตัวผสมกันเพื่อให้มีความสามารถในการดูดซับแสง ช่วงคลื่นที่กว้างขวาง (Broad spectrum) สารเคมีที่ใช้มี 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1.1 PABA Group กลุ่มพาบา ดูดซับรังสีคลื่นสั้นได้ดี ที่นิยมใช้มี Octyl dimethyl PABA (Padimate O) สารกันแดด กลุ่มนี้นิยมใช้อย่างกว้างขวาง เนื่องจากดูดซับแสงได้ดี มีอาการแพ้น้อยเมื่อเปรียบกับสารตัวอื่นๆ แต่มีสารในกลุ่มนี้ตัวหนึ่ง ซึ่งเคยนิยมใช้เมื่อ 30 ปีก่อน แล้วปรากฏภายหลังพบว่าอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง สารตัวนี้ชื่อ Padimate A ซึ่งได้ถูกห้ามใช้ตั้งแต่ปี 2530 ส่วน Padimate O พบว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Padimate A เลย จึงยังเป็นที่ใช้กันอย่างกว้างขวางจนปัจจุบัน 1.2 Non-PABA คือ กลุ่มที่ไม่ใช่พาบามีหลายกลุ่มคือ Bensophenone ดูดซับ UV คลื่นสั้นและยาว Cinnamates ดูดซับ UV คลื่นสั้น Antranilate ดูดซับ UV คลื่นสั้น Homosalate ดูดซับ UV คลื่นสั้นและยาว กลุ่ม Non-PABA นี้จะก่อให้เกิดอาการแพ้มากกว่ากลุ่ม PABA ระดับความเสี่ยงต่อการแพ้ เรียงตามกลุ่มข้างต้นจากน้อยมาหามาก การจัดตำรับผลิตภัณฑ์กันแดด ต้องใช้สารกันแดดหลายตัวผสมกัน เพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งป้องกันรังสีครอบคลุมทุกชนิด และเพื่อเป็นลดอัตราการแพ้
คือ สารกายภาพ หรือ สารธรรมชาติ มีดังนี้ 2.1 Titanium dioxide เป็นสารทึบแสง ได้จากธรรมชาติ ถือเป็นดินหรือแร่ชนิดหนึ่ง สามารถป้องกัน รังสีคลื่นสั้นได้ดีและยังสามารถป้องกันรังสีคลื่นยาวได้อีกระดับหนึ่ง 2.2 Zinc oxide เป็นสารทึบแสงได้จากธรรมชาติเช่นกัน มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ป้องกันรังสีคลื่นยาวได้ดี ผลิตภัณฑ์กันแดด ซึ่งใช้สารทั้งสองเป็นสารกันแดด จะไม่ดูดซับแสงแต่จะสะท้อนรังสีทั้งหมดออกไป จึงทำให้ไม่เกิดอาการแพ้ โดยทั่วไปผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายนิยมใช้ Titanium oxide ตัวเดียว เนื่องจากการใช้ Zinc oxide ร่วมในตำรับทำให้จัดตำรับผลิตภัณฑ์ยากลำบากขึ้น และครีมซึ่งมี Zinc oxide เมื่อทาแล้วผิวอาจขึ้นขาววาวๆได้ |
ข. รองพื้น (Base) เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์กันแดดมีผลอย่างมากต่อค่าSPF และต้องอยู่ในรูปแบบที่ผู้บริโภคสะดวกใช้ ที่นิยมคือเป็น ครีม โลชั่น สปรย์ หรือ โลชั่นใส แต่ในหลักการต้องให้มีคุณสมบัติ ดังนี้ ¨ เนื้อผลิตภัณฑ์ต้องดูดี น่าใช้ ¨ เกลี่ย ทา ง่าย ¨ ติดผิวแน่น ทนต่อการถูกน้ำ เหงื่อ ล้างออก คุณสมบัติข้อนี้มีความสำคัญมากต่อค่า SPF ของผลิตภัณฑ์ |
ข้อเปรียบเทียบของสารกันแดด 2 กลุ่ม | ||||||||||
|
วิธีทาครีมกันแดด 1. ควรทาครีมกันแดด ทาทิ้งไว้ที่ผิวหนัง ประมาณ 15 - 20 นาที ก่อนออกไปตากแดด 2. ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF มากกว่า 15 ขึ้นไป 3. เลือดครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพกันแดดได้ผลดี ปลอดภัยสูง ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ระคายเคือง |
โรค...ไซนัสอักเสบ |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|